
4 แหล่งที่มาของ วากิว สุดอร่อย ในญี่ปุ่น
วะกิว เป็นคำที่ใช้เรียกเนื้อวัวที่ผลิตในญี่ปุ่นและผ่านมาตรฐานด้านคุณภาพอันเข้มงวด ในปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเดินทางมาถึงญี่ปุ่นเพื่อทานวะกิว เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และในครั้งนี้เราก็จะมาทำความรู้จักกับ 4สุดยอดเนื้อ วากิว ของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเนื้อวัวแบรนด์คุณภาพสูงแม้เทียบกับเนื้อวะกิวด้วยกันเอง
วะ (Wa) หมายถึงญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเนื้อวัวที่ผลิตในญี่ปุ่นทั้งหมดจะเรียกได้ว่าเป็น “วะกิว” คำว่า “วะกิว” หมายรวมเฉพาะวัว 4 สายพันธุ์ ซึ่งรวมถึง วัวพันธุ์ญี่ปุ่นขนดำ (Japanese Black) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่กำหนดไว้สำหรับบริโภคเนื้อโดยเฉพาะ (สายพันธุ์ที่เลี้ยงไว้เพื่อผลิตเนื้อวัวเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อการผลิตนมวัว) และหมายรวมถึงวัวที่เกิดจากการผสมข้ามระหว่าง 4 สายพันธุ์ ซึ่งสายพันธุ์ญี่ปุ่นขนดำเป็นสายพันธุ์ที่มีการเลี้ยงมากที่สุด และสุดยอดเนื้อวะกิวของญี่ปุ่นก็ล้วนแต่เป็นเนื้อวัวสายพันธุ์ญี่ปุ่นขนดำทั้งสิ้น
1. เมืองโยะเนะซะวะ (Yonezawa City), ยะมะงะตะ (Yamagata)
เมืองโยะเนะซะวะ (Yonezawa City) แหล่งผลิตเนื้อโยะเนะซะวะ คือดินแดนที่เป็นที่ตั้งของ ศาลเจ้าอุเอะสุงิ ซึ่งเป็ยศาลเจ้าที่ใช้สักการบูชาแม่ทัพใหญ่แห่งยุคเซ็นโกะคุ ท่านแม่ทัพเคนชิน อุเอะสุงิ ผู้เลื่องชื่อ นอกจากนั้นยังมี สวนสาธารณะมัตสึงะซะกิ ซึ่งสร้างขึ้นจากซากปราสาทโยะเนะซะวะ และไม่เพียงแค่นักท่องเที่ยวเท่านั้นที่นี่ยังเป็นสถานที่ยอดนิยมที่ผู้คนในท้องถิ่นต่างก็ชอบมาผ่อนคลายกันอีกด้วย นอกจากนี้หากได้มาเยือนเมืองโยะเนะซะวะแล้วก็ต้องขอแนะนำให้เที่ยวอนเซ็นด้วยเช่นกัน ทั้ง ชิระบุอนเซ็น ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานราว 700 ปี และโอะโนะงะวะอนเซ็น ที่จะมีการจัดงานเทศกาลหิ่งห้อยกันในช่วงปลายเดือนมิถุนายน – ปลายเดือนกรกฎาคมของทุกปี อีกทั้งยังมีอนเซ็นอีกหลายแห่งที่ค่อนข้างหายากและอยู่ในที่ลับตาคนให้ได้เลือกผ่อนคลายกับการแช่น้ำร้อนกลางแจ้งท่ามกลางอ้อมกอดของธรรมชาติ
2.เมืองโอมิฮะชิมัง (Omihachiman City), ชิงะ (Shiga)
หากพูดถึงเมืองโอมิฮะชิมัง (Omihachiman City) ซึ่งเป็นแหล่งผลิตเนื้อวัวโอมิ (Omi Beef) แล้ว ก็ต้องพูดถึง คลองฮะชิมังโบะริ (Hachiman-bori Canal) เส้นทางสัญจรทางน้ำที่ขุดขึ้นโดยฝีมือมนุษย์เมื่อ 400 ปีก่อน และได้รับเลือกให้เป็นภูมิทัศน์วัฒนธรรมที่สำคัญของชาติ ดังนั้นโปรแกรมที่จะขาดไม่ได้เลยหากได้มาเที่ยวที่เมืองโอมิฮะชิมังคือการล่องเรือไปตามสายน้ำเพื่อชมเมือง หรือที่เรียกว่า “ซุยโกเมะกุริ (Suigo Meguri)” และสิ่งที่ช่วยให้ภูมิทัศน์ของที่นี่ดูสวยงามมากยิ่งขึ้นไปอีกก็คือบรรยากาศเมืองที่เรียงรายไปด้วยบ้านเรือนสไตล์ดั้งเดิมของเหล่าพ่อค้าวาณิชย์ซึ่งรัฐบาลกำหนดให้เป็นเขตพื้นที่อนุรักษ์นั่นเอง เพราะที่นี่ยังคงไว้ซึ่งภูมิทัศน์และบรรยากาศแบบโบราณไว้อย่างมากขนาดที่ถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์และละครย้อนยุคอยู่บ่อยๆ และแน่นอนที่สุดว่าจะต้องมีร้านอาหารให้ได้ลิ้มลองรสชาติของเนื้อโอมิแสนอร่อยอยู่มากมาย หลังจากตระเวนเที่ยวชมเมืองแล้วก็อย่าลืมแวะชิมกันดู
3.เมืองมัตสึซากะ (Matsusaka City), มิเอะ (Mie)
เมืองมัตสึซากะ (Matsusaka City) ซึ่งเป็นแหล่งผลิตเนื้อมัตสึซากะ (Matsusaka Beef) เคยเจริญรุ่งเรืองในด้านการค้าเมื่อราว 400 ปีก่อน และในปัจจุบันก็ยังคงไว้ซึ่งบรรยากาศบ้านเมืองที่งดงามเรียงรายด้วยอาคารสถาปัตยกรรมดั้งเดิม อย่างเช่น โกะโจบังยะชิกิ (Gojoban Yashiki) ซึ่งเป็นคฤหาสน์ของเหล่าซามูไรที่ทำหน้าที่ปกป้องปราสาทนั้น ปัจจุบันก็ยังมีผู้สืบเชื้อสายซามูไรเหล่านี้อาศัยอยู่ให้เราได้เห็นถึงสภาพชีวิตความเป็นอยู่ในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี ส่วนปราสาทมัตสึซากะ (Matsusaka Castle Ruins) นั้น แม้ในปัจจุบันจะไม่มีตัวปราสาทหลงเหลืออยู่ให้เห็นแล้ว แต่กำแพงหินรอบปราสาท (กำแพงหินที่สร้างขึ้นเพื่อป้องกันข้าศึกศัตรูบุกรุก) ที่ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลในแง่คุณค่าทางประวัติศาสตร์ก็ยิ่งใหญ่ตระการตาควรค่าแก่การชมเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นแหล่งผลิตผ้าฝ้ายย้อมครามที่เรียกกันว่า มัตสึซากะโมเม็น (Matsusaka Momen) ที่มีจุดเด่นอยู่ที่ลายทางและสีครามซึ่งเป็นที่นิยมมากในยุคนั้น สามารถหาเช่าได้ตามร้านเช่ากิโมโนและมีจำหน่ายตามร้านต่างๆ อีกมากมาย อย่าลืมลองแวะไปดูเพื่อจะได้เป็นความทรงจำที่ดีในการมาเยือนเมืองมัตสึซากะ สำหรับร้านอาหารที่เสิร์ฟเนื้อมัตสึซากะโดยเฉพาะนั้นก็มีอยู่หลายร้านในตัวเมือง อย่าลืมแวะไปชิมกันให้ได้
4.เมืองโกเบ (Kobe City), เฮียวโงะ (Hyogo)
เมืองโกเบ (Kobe City) แหล่งผลิตเนื้อโกเบแห่งนี้เป็นเมืองที่พัฒนาขึ้นในฐานะเมืองท่า จึงมีความโดดเด่นตรงบรรยากาศบ้านเมืองที่ไม่ได้มีเพียงอาคารสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นเท่านั้น หากแต่ยังมีกลิ่นอายของวัฒนธรรมตะวันตกที่เปิดรับเข้ามาด้วย บริเวณท่าเรือคือที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่าง หอคอยท่าเรือโกเบ (Kobe Port Tower) ที่เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองและโกเบฮาเบอร์แลนด์ อุมิเอะ (Kobe Harborland UMIE) ที่ให้คุณได้เพลิดเพลินกับการช้อปปิ้งและทิวทัศน์ท้องทะเลสวยๆ ไปได้พร้อมๆ กัน นอกจากนี้ทางฝั่งภูเขาก็มีภูเขารคโค (Mt. Rokko) ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่นักปีนเขาและฟาร์มรคโคซัง (Rokkosan Pasture) ให้ได้สัมผัสกับเหล่าสัตว์แสนน่ารัก และจุดชมวิวยอดนิยมอันเลื่องลือในเรื่องของทิวทัศน์ยามค่ำคืนงดงามระดับแถวหน้าของญี่ปุ่นอย่างเช่น จุดชมวิวคิคุเซไดบนภูเขามายะ (Mt. Maya Kikuseidai Observatory) เป็นต้น อีกทั้งเมืองโกเบยังมีแหล่งอนเซ็นชื่อดังอย่างอะริมะ (Arima) ซึ่งเต็มไปด้วยอนเซ็นทั้งแบบไม่ต้องพักค้างแรม และอนเซ็นสำหรับแช่เท้า เหมาะที่สุดสำหรับการแวะไปคลายความเหนื่อยล้าในระหว่างการเดินทาง
ข้อมูลจาก JNTO
โปรแกรมทัวร์ ญี่ปุ่น คลิก http://bit.ly/2GK5yLb
0
Leave a Reply