10 จุดเช็คอินห้ามพลาด จ.เชียงใหม่
1. วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร
สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1927 ในสมัยพญากือนา กษัตริย์องค์ที่ 6 แห่งอาณาจักรล้านนา ราชวงศ์มังราย พระองค์ทรงได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุองค์ใหญ่ ที่ได้ทรงเก็บไว้สักการบูชาส่วนพระองค์ถึง 13 เมื่อถึงแล้วสามารถเดินทางขึ้นชมได้ 2 ทาง คือ เดินขึ้นบันไดนาค 300 ขั้น และทางรถราง ระยะทางจากเชิงดอยถึงวัดประมาณสิบกว่ากิโลเมตรใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง วัดแห่งนี้ถือเป็นปูชนียสถานคู่เมืองเชียงใหม่ ถ้าหากใครที่มาเยือนเมืองเชียงใหม่แล้วไม่ได้ขึ้นไปนมัสการถือเสมือนว่ายังมาไม่ถึงเชียงใหม่
2. บ้านแม่กำปอง
หมู่บ้านเล็ก ๆ ท่ามกลางหุบเขาที่รายล้อมด้วยธรรมชาติที่คงมีความอุดมสมบูรณ์ มีอากาศเย็นตลอดทั้งปี มีลำธารใส ไหลเย็นผ่านตลอดหมู่บ้าน จะเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับหรือพักค้างคืนที่โฮมสเตย์ของชาวบ้านที่เปิดให้บริการก็ได้ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมเดินศึกษาเส้นทางธรรมชาติที่มีไกด์ท้องถิ่นเป็นผู้นำทางให้บริการอีกด้วย
3. อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์
ภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย ด้วยความสูงจากระดับน้ำทะเล 2,565 เมตรค่ะ จึงทำให้มีสภาพอากาศที่เย็นตลอดทั้งปี นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นไปบนดอยอินทนนท์ เพื่อเดินชมป่าดิบเขาที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ มอสและเฟิร์นสีเขียว บริเวณ อ่างกาหลวง สัมผัสความสดชื่นจากธรรมชาติ แวะถ่ายรูปที่จุดสูงสุดบนยอดดอย และสักการะ พระมหาธาตุนภเมทนีดล และพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ อันสวยงามท่ามกลางทิวเขา
4. ถนนคนเดินเชียงใหม่
แหล่งรวมสินค้าพื้นเมือง ของฝาก ของที่ระลึก รวมไปถึงงานศิลปะ และงาน Handmade เท่ ๆ ที่แสดงถึงวิถีชีวิตและเอกลักษณ์ของชาวเชียงใหม่ นักช้อปห้ามพลาด เปิดเป็นประจำทุกวันเสาร์ที่ถนนคนเดินวัวลาย และทุกวันอาทิตย์ที่ถนนคนเดินท่าแพ ตั้งแต่เวลา 17.00-22.00 น.
5. ดอยหลวงเชียงดาว
ท้าทายความสูง ขึ้นเขาเดินป่าพิชิตยอดดอยหลวงเชียงดาว ที่สูงเป็นลำดับสามของประเทศ สัมผัสธรรมชาติอันแสนบริสุทธิ์ กางเต็นท์นอนดูดาวระยิบระยับเต็มผืนฟ้า ชมวิวสวยพาโนรามา 360 องศา ท่ามกลางยอดเขา ทะเลหมอกที่รายล้อมแสงอาทิตย์แรกและแสงสุดท้ายของวัน ราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์ชั้นฟ้าโดยแท้
6. สวนสนบ่อแก้ว
เป็นพื้นที่ปลูกสนภูเขาต่าง ๆ ที่นำพันธุ์มาจากต่างประเทศ ซึ่งอากาศที่นี่ก็จะชื้นและเย็นเขียวขจีตลอดทั้งปี เหมาะแก่การมาเดินชมทิวทัศน์ป่าสนที่ปลูกเรียงรายเป็นแถวยาว โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาวช่วงตอนเช้า ๆ จะเห็นม่านหมอกปกคลุมประจวบกับแสงอาทิตย์ที่ส่องแสงเบา ๆ ทำให้เหมือนอยู่เมืองนอกเลยล่ะ
7. ผาช่อ
เป็นสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ มีลักษณะเป็นหน้าผาดินตะกอนสูงประมาณ 30 เมตร เนื่องจากพื้นดินได้มีการยกตัวทำให้กลายเป็นเนินเขาสูงทำให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามแปลกตา
8. บ้านป่าบงเปียง
เป็นสถานที่ที่จะทำให้เราได้ขลุกตัวอยู่กับธรรมชาติแบบใกล้ชิด ด้วยวิวท้องทุ่งนาบนเนินเขาสูงผสมผสานกับเทือกเขาสลับซับซ้อน ซึ่งในช่วงเดือนกรกฎาคม จะเป็นช่วงดำนา ถ้าหากไปเที่ยวในช่วงนี้ก็จะได้เห็นแสงอาทิตย์ตกกระทบพื้นนาที่มีความวับวาว ในช่วงเดือนสิงหาคม จะเป็นช่วงที่ทุ่งนาเขียวขจี เหมาะอย่างยิ่งกับการไปถ่ายรูปสวย ๆ ส่วนในเดือนกันยายน จะเป็นช่วงที่ใกล้เก็บเกี่ยวจะได้เห็นท้องทุ่งนาสีเหลืองทองอร่ามของต้นข้าวก่อนที่จะเก็บเกี่ยวซึ่งเรียกได้ว่าเป็น 3 เดือนที่เหมาะแก่การไปเที่ยวอย่างยิ่ง
9. ชุมชนโหล่งฮิมคาว
ภาพจาก a day magazine
ย่านสร้างสรรค์ที่เกิดจากการรวมตัวกันของเพื่อนฝูงศิลปินและเจ้าของแบรนด์ผ้าระดับโอท็อปที่หลงรักในงานหัตถกรรม ธรรมชาติ ภูมิปัญญา ศิลปะ วัฒนธรรม และอัตลักษณ์ความเป็นล้านนา เมื่อรักในสิ่งเดียวกันแล้ว พวกเขาจึงตัดสินใจลงขันซื้อที่ดินร่วมกัน แบ่งสรรปันพื้นที่ของตัวเองเพื่อสร้างเรือนล้านนาเป็นบ้านอยู่อาศัย เป็นหน้าร้านค้าขายผลิตภัณฑ์ และอยู่รวมกันฉันครอบครัว
10. สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
สวนพฤกษศาสตร์สากลแห่งแรกของประเทศไทยเขียวชอุ่มร่มรื่นไปด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด และพันธุ์ไม้แปลกหายาก เช่น ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง ใครชอบความสูงลองไปเดินเล่นที่ทางเดินลอยฟ้าพาดผ่านป่าสน ลองดูว่าวิวความสูงระดับยอดไม้จะสวยงามขนาดไหน ไฮไลท์อีกอย่างคือ กลุ่มอาคารเรือนกระจกที่รวบรวมพรรณไม้ในเขตป่าดงดิบจากทุกภูมิภาคของทวีปเอเชีย และพืชทะเลทรายอย่างต้นกระบองเพชรหลากหลายสายพันธุ์ นอกจากได้ความรู้แล้วยังถ่ายรูปสวยอีกด้วย
CR: Tourism Thailand
ทัวร์ในประเทศคลิ๊ก https://bit.ly/30SpcPN
Leave a Reply